วันที่3 สิงหาคม 2566 เวลา15.30 น.ที่สำนักข่าว นสพ.การเมืองชุมชน เขตบางซื่อ กทม. น.ส.เพ็ญ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี บ้านอยู่เขตคลองสาน กทม. ได้เข้าพบผู้สื่อข่าว นสพ.การเมือง ชุมชน เพื่อแฉกลโกงของ”เว๊ปเงินกู้”ที่ตนโดนหลอกโอนเงินเกือบล้านบาท
โดย น.ส.เพ็ญ ได้กล่าวว่า”ตนเองทำธุรกิจขายเสื้อผ้าอยู่ที่”ตลาดโบ๊เบ้” ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าตั้งแต่”โควิท”ระบาดการค้าก็ชลอตัวหลายปี ทำให้ธุรกิจขาดสภาพคล่อง ก็ต้องหาแหล่งเงินทุนมาหมุนสภาพคล่อง ต่อมาเมื่อวันที่ 25 มิ.ย.66 ตอนเที่ยงๆตนได้เล่นโทรศัพท์อยู่ ก็เห็นเว๊ปไชค์ให้กู้เงิน ตนจึงเข้าไปดู พอเข้าไปดูเขาก็จะโฆษณาว่า”เงินด่วน พร้อมใช้ อนุมัติเร็ว เอกสารไม่ยุ่งยากและไม่ต้องมีคนค้ำ” ตนจึงเข้าไปสอบถาม หลังจากนั้นทางเว๊ปให้ตนแอ็ดไลน์เข้าไป เมื่อเข้าไปเสร็จตนก็บอกว่าต้องการกู้เงิน3ล้านบาท ทางโน้นก็แจ้งว่าต้องผ่อน65,000 บาท60เดือน พร้อมสอบถามถึงหน้าที่การงานและให้ส่งเอกสารเข้าไป หลังจากนั้นไม่นานทางนั้นก็ได้บอกว่าถ้าต้องการเงิน3ล้านบาท จะต้องโอนเงินเป็นค่าประกัน33,000บาทก่อน ถึงจะทำการโอนเงิน3ล้านเข้าบัญชีตนได้ โดยให้โอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์ของนายไพรัตน์ (ขอสงวนนามสกุล) และแนะนำตัวว่าเป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่ง พร้อมถ่ายรูปและถือบัตรประชาชนส่งมาให้ตนดู ตอนแรกตนก็เอะใจ เลยลองเข้ากูลเกิ้ลค้นหาบริษัทที่เขากล่าวอ้าง พบว่าเป็นบริษัทใหญ่โตที่อยู่แถวๆสาธร ตนจึงยอมโอนเงินก้อนแรกไป หลังจากนั้นก็เป็นระบบ”เอไอ” บอกว่าได้รับการอนุมัติแล้วแต่ต้องเสียค่าภาษี ,ค่าโน้นค่านี้ให้ก่อน เเล้วทางบริษัทจะโอนเงินทั้งหมดมาพร้อมกับเงิน 3 ล้านบาท โดยตนโอนไปทั้งหมด11ครั้ง เป็นเงินกว่า9แสนบาท ตนเริ่มโอนตั้งแต่13.00น ถึง 19.00 น. หลังจากนั้นก็ยังไม่มีเงินโอนเข้ามา ตนก็ทวงถามจนถึงวันที่ 26 มิ.ย.ก็ยังไม่มีเงินโอนเข้ามา แต่ทางนั้นก็ยังติดต่อให้ตนโอนเงินให้อีก ตนจึงตัดสินใจไปที่บริษัทย่านสาธร จึงได้ทราบว่าตนโดนมิจฉาชีพหลอกแล้ว หลังจากนั้นจึงไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำเหร่”
ผู้สื่อข่าวจึงถามน.ส.เพ็ญ ที่มาวันนี้ตัองการมาทำอะไร น.ส.เพ็ญ จึงบอกว่า “ต้องการมาเตือนภัยให้กับประชาชน ให้ได้ทราบถึงพฤติกรรมของกลุ่มคนพวกนี้ จะได้ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อย ตอนนี้ตนต้องกลับมาเป็นหนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าเก่า กินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นอาทิตย์กว่าจะคิดได้ จึงตั้งใจมาเตือนประชาชนให้รู้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ และอีกอย่างครั้งนี้ที่ตนโดนหลอกยอมโอนเงินให้ไปไม่ใช่เพราะความโลภ แต่น่าจะเป็นเพราะการอ้างถึงบริษัทที่น่าเชื่อถือ การใช้บุคคลยืนถือบัตรประชาชนเพื่อให้เราไว้ใจ และการใช้เวลาในการบีบให้เรารีบโอนเงินไปให้ สุดท้ายอยากขอความเมตาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สำเหร่ ที่ตนไปแจ้งความตั้งแต่วันที่26 มิ.ย. 66 จนถึงปัจจุบัน ตนยังไม่รู้เลยว่าคดีมีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว ป่านนี้คนที่ตนโอนเงินไปให้จะก่อกรรมหลอกชาวบ้านไปกี่คนแล้ว ขอวิงวอนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ร้อยเวร สน.สำเหร่ เจ้าของคดีของตน จับผู้กระทำผิดมารับโทษให้ได้ด้วยค่ะ”