ยื่นหนังสือคัดค้านเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

วันนี้(18 ส.ค.66) ตั้งแต่เวลา 09.40 น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 (สนง.กพเดิม) กลุ่มสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) จำนวน 30 คน

นำโดยนายมานพ เกื้อรัตน์ (เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) วัตถุประสงค์ ยื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี เรื่อง ขอคัดค้านหลักเกณฑ์จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฉบับใหม่และขอให้ทบทวนยกเลิก ตามที่รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทย ได้ออกระเบียบวิธีการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุใหม่โดยกำหนดให้ผู้ที่จะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่ชมรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด ซึ่งหลักเกณฑ์ดังกล่าวได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2566 ลงนามโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มีการปรับเปลี่ยนเกณฑ์เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุใหม่

สาระสำคัญคือ

1. มีสัญชาติไทย

2. มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

3. มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซึ่งได้ยืนยันสิทธิขอรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

4. เป็นผู้ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ ตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนดผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องสำคัญที่ระบุในบทเฉพาะกาลของระเบียบฯ ใหม่นี้ คือ

ข้อ 17 บรรดาผู้สูงอายุที่ได้ขึ้นทะเบียนและรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอยู่ก่อนวันที่ระเบียบนี้บังคับใช้ ให้ยังมีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นต่อไป

ข้อ 18 ในระหว่างที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุยังมิได้ มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามข้อ 6 (4) ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ คุณสมบัติผู้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติมไปพลางก่อน เท่ากับว่าจากนี้ไปผู้สูงอายุที่จะได้รับก็ต้องแสดงตนพิสูจน์สิทธิว่า “จนจริง” ถึงจะได้รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุหากปรากฎว่ามีรยได้ก็จะไม่ได้รับ ซึ่งการเพิ่มคุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ

ดังกล่าว นี้จะทำลายหลักการรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้า แต่จะตอกย้ำระบบรัฐสงเคราะห์ที่เลือกให้เฉพาะคนจนหรือคนอนาถา กฎระเบียบดังกล่าวเป็นการทำให้สวัสดิการผู้สูงอายุในไทย “ถอยหลัง” ไปจากปี 2552

ซึ่งขณะนั้นเป็นการปรับเปลี่ยนระบบสวัสดิการผู้สูงอายุ จากเดิมใช้ระบบ “พิสูจน์ความจน” มาใช้ระบบ “ถ้วนหน้า” ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และหลักสากล ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน และแน่นอนว่าจะต้องเกิดปัญหาตามมาอีกมากมายในอนาคต แต่หากหลักเกณฑ์เดิมแบบถ้วนหน้าก็จะง่ายไม่สลับชับช้อนเพราะรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีข้อมูลอยู่แล้ว

สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) จึงขอคัดค้านและไม่เห็นด้วยกับการไปสร้างเงื่อนไขขึ้นมาใหม่และไปทำลายหลักการรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้า แต่รัฐบาลควรสร้างมาตรการการจัดเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า บริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ จัดการแก้ไขปัญหาการทุจริตให้หมดไป สร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ของเด็ก ผู้สูงอายุ จัดการเรื่องการศึกษา สาธารณสุข ฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

จัดการระบบ พลังงาน น้ำประปา ไฟฟ้า การขนส่ง การสื่อสารโทรคมนาคม การบริการสาธารณะ ที่ดีมีประสิทธิภาพที่ดำเนินการโดยรัฐเองไม่ถ่ายโอนภารกิจให้เอกชนดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พร้อมกับควบคุมราคาสินค้าที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตเพื่อลดรายจ่ายประชาชนลง เมื่อประชาชนอยู่ดีมีสุข ประเทศชาติก็สงบสุข

จึงขอให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทบทวน ยกเลิก หลักเกณฑ์จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุฉบับใหม่แล้วกลับไปใช้หลักเกณฑ์เดิมแบบถ้วนหน้าและปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชนมากกว่า

ในเวลา 10.32 น. ต่อมากลุ่มได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านนาย สมพาศ นิลพันธ์ (ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการเรื่องราวร้องทุกข์) ,นายสาธิต สุทธิเสริม ผู้อำนวยการประสานมวลชนและองค์กรประชาชน และนายฉลองกรุง ภคกุล หัวหน้าฝ่ายประสานมวลชน รับเรื่องไว้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป จากนั้น กลุ่มฯยุติกิจกรรม เก็บอุปกรณ์ และร่วมกันร้องเพลง จากนั้นเดินทางกลับ