“ปอศ.เปิดยุทธการ “ทลายยกแก๊ง ตุ๋นหลอกเหยื่อร่วมลงทุน”

7

“ปอศ.เปิดยุทธการ “ทลายยกแก๊ง ตุ๋นหลอกเหยื่อร่วมลงทุน” กวาดจับ10ผู้ต้องหา ร่วมลวงเหยื่อลงทุนเทรดหุ้น ผงะยอดเงินหมุนเวียน800ล้าน”

วันที่ 27 ก.ค.พล.ต.ต.พุฒิเดช บุญกระพือ ผบก.ปอศ.สั่งการให้พ.ต.อ.วิจักขณ์ ตารมย์ รอง ผบก.ป ปฏิบัติราชการ บก.ปอศ.พ.ต.อ.ธีรภาส ยั่งยืน ผกก.3 บก.ปอศ.พ.ต.อ.วีระพงษ์ คล้ายทอง ผกก.4 บก.ปอศ.ร่วมกันแถลงจับกุมนายกิตติพล กลมเกลียว อายุ 33 ปี พร้อมพวกรวม 10 คน ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2323-2337/2566 ลง 20 ก.ค. 66 ข้อหา“ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่ง

ข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

พล.ต.ต.พุฒิเดช กล่าวว่า ก่อนหน้ามีผู้เสียหายหลายรายเข้ามาร้องทุกข์ที่บก.ปอศ.หลังถูกกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างชื่อบริษัทดังที่ทำธุระกิจให้คําปรึกษาจัดการลงทุน มาชักชวนผ่านเฟซบุ๊กเพื่อให้ลงทุนเทรดหุ้น อ้างมีผลตอบแทนสูง โดยคนร้ายกลุ่มนี้จะใช้วิธีการหลอกเหยื่อให้ทดลองเทรดด้วยเงินจํานวนไม่มาก ช่วงแรกเหยื่อก็จะสามารถถอนเงินผลกำไรออกมาได้จริงๆเพื่อหลอกให้เหยื่อตายใจ

พล.ต.ต.พุฒิเดช กล่าวต่อว่า จนกระทั่งเหยื่อเพิ่มเงินลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ และประสงค์จะถอนเงินพร้อมผลกําไรออกมา ก็จะปรากฎว่าจะไม่สามารถถอนเงินได้ กลุ่มผู้ต้องหาจะใช้อุบายอ้างว่า ต้องโอนเงินมาเพิ่มก่อนถึงจะถอนเงินได้ ทําให้ผู้เสียหายที่อยากจะได้เงินคืน ต้องโอนเงินเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็ไม่ได้รับอะไรกลับมาเลย ซึ่งมีผู้เสียหายรายหนึ่งที่เสียเงินไปมากถึง 4 ล้านบาท

พล.ต.ต.พุฒิเดช กล่าวอีกว่า ต่อจากนั้นตนจึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่ทําการสืบสวนหาข้อมูลจนพบว่าคนร้ายกลุ่มนี้จะใช้วิธีการโอนเงินต่อไปเรื่อยๆหลายชั้นและรวดเร็ว จนยากต่อการติดตาม จนไปพบว่ามีบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้องมาถึง 18 บัญชี มีเงินหมุนรวม 800 ล้านบาท โดยพบหลักฐานมีกลุ่มผู้ต้องหาที่มีส่วนเกี่ยวข้องประมาณ 16 ราย ซึ่งแต่ละรายมีหมายจับคดีลักษณะเดียวกันอีกเป็นจํานวนมาก และยังหลบหนีอยู่อีกด้วย ตนจึงสั่งการเข้าตรวจค้นเป้าหมายในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพ, สุพรรณบุรี, อุทัยธานี, นครสวรรค์, กระบี่ จนกระทั่ง สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ดังกล่าว เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้งหมดให้การปฏิเสท จึงส่งตัวให้พนักงานสอบสวน ของ บก.ปอศ.ดำเนินคดีต่อไป

พล.ต.ต.พุฒิเดช กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ต้องขอฝากเตือนให้พี่น้องประชาชนทุกคน ให้รู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในยุคนี้ ทุกคนเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น ทําให้กลุ่มผู้ต้องหาเห็นช่องทางในการหลอกลวงเพิ่มมากขึ้นโดยใช้ผลตอบแทนที่สูงเกินจริง จนมีผู้หลงเชื่อเข้าไปทดลอง บางรายถึงขั้นหมดเนื้อหมดตัว บางรายก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสินมาลง เพื่อหวังผลตอบแทนที่ไม่มีทางเป็นจริง