กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการตำรวจทางหลวง(บก.ทล.) ภายใต้การอำนวยการของพล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก., พล.ต.ต.โสภณ สารพัฒน์, พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ,พ.ต.อ.คงกฤช เลิศสิทธิกุล รรท.ผบก.ทล., พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง.ผบก.ป ช่วยราชการ รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.สุมรภูมิ ไทยเขียว, พ.ต.อ.สุขสวัสดิ์ คูสิทธิผล รอง ผบก.ทล., พ.ต.อ.ศตวรรษ บุญมี ผกก.๑ บก.ทล. ,พ.ต.ท.ธัช โพธิ์สุวรรณ,พ.ต.ท.นาวิน คงสว่าง รอง.ผกก.1 บก.ทล.,พ.ต.ต.ปภินวิทย์ อุดมพร สว.ส.ทล.1 กก.1 บก.ทล. สั่งการให้
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ส.ทล.1 กก.1 บก.ทล.(อยุธยา) นำโดย ร.ต.อ.เอกชัย ขุมเพ็ชร,ร.ต.อ.เชาวลิต สีดำ
รอง สว.ส.ทล.1 กก.1 บก.ทล.,ว่าที่ ร.ต.อ.ประธาน จตุพันธ์,ว่าที่ ร.ต.อ.ธีระยุทธ วันโสภา,ร.ต.ท.ปรวัฒน์ กนกทอง
รอง สว.(ป) ส.ทล.1 กก.1บก.ทล. และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส.ทล.1 กก.1บก.ทล.
ร่วมกันจับกุม
1.นายสมเกียรติฯ อายุ 19 ปี (ผู้ขับขี่)สัญชาติ ไทยผู้ถูกจับที่ 1
2. นายมอมใหญ่อายุ 20 ปี สัญชาติ เมียนมาผู้ถูกจับที่ 2
3. นายแซะ แอ อายุ 18 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 3
4. นายม่อมใหญ่ อายุ 22 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 4
5. นายอ่องใบชูอายุ 18 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 5
6. นายโกตูอายุ 25 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 6
7. นายยูอายุ 32 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 7
8. นางสาวเมยู อายุ 39 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 8
9. นางสาวชางใด๋อายุ 20 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 9
10. นางสาวยอชางเชง อายุ 21 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 10
11. นางสาวโมอูอายุ 20 ปี สัญชาติ เมียนมาผู้ถูกจับที่ 11
12. นางสาวมอโมยาอะอายุ 23 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 12
13. นางสาวตองหน่อยอายุ 42 ปี สัญชาติ เมียนมา ผู้ถูกจับที่ 13
ฐานความผิด
ผู้ถูกจับที่ 1 “รู้ว่าคนต่างด้าวคนใดเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวนั้นพ้นจากการจับกุม”
ผู้ถูกจับที่ 2 – 13 “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”
พร้อมตรวจยึดของกลาง
1.รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ ISUZU D-MAX สีดำ ติดแผ่นป้ายทะเบียนพิษณุโลก จำนวน 1 คัน
2.โทรศัพท์ ยี่ห้อ VIVO สีเทา จำนวน 1 เครื่อง
3.โทรศัพท์ ยี่ห้อ VIVO สีเทา จำนวน 1 เครื่อง
4.กุญแจรถยนต์ จำนวน 1 ดอก
จับกุม
บริเวณ แยกไฟแดงบึงกาสาม ทล.3261 ต.บึงกาสาม อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี
สืบเนื่องจาก กก.1 บก.ทล.ได้มีการกวดขันจับกุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายและผู้นำพาในเส้นทางพื้นที่
จ.ปทุมธานี อยู่บ่อยครั้ง พ.ต.อ.ศตวรรษ บุญมี ผกก.1 บก.ทล.จึงได้สั่งการให้มีการสืบสวนถึงเส้นทางที่มีการลักลอบขนคนต่างด้าวผิดกฎหมายเข้ามาในพื้นที่ชั้นใน โดยให้ ส.ทล.1 กก.1 บก.ทล.(อยุธยา) บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปทส.และ เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรหนองเสือ ภ.จว.ปทุมธานี สืบสวนในพื้นที่รับผิดชอบ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สำรวจเส้นทาง บริเวณ อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี โดยพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ ISUZU D-MAX สีดำ ติดแผ่นป้ายทะเบียนหมายเลขพิษณุโลก มีน้ำหนักที่รถยนต์มากว่ารถยนต์ปกติ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ขอทำการตรวจสอบ
เบื้องต้นสอบถามชื่อ นายสมเกียรติฯ อายุ 19 ปี เป็นผู้ขับขี่รถยนต์กระบะ โดยมีผู้ถูกจับที่ 2 – 13 นั่งโดยสารมากับรถยนต์คันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชิญรถยนต์คันดังกล่าวมาตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดอีกครั้งที่ จุดตรวจบึงกาสาม สถานีตำรวจภูธรหนองเสือ ภ.จว.ปทุมธานี พบว่า ผู้ถูกจับที่ 2 – 13 เป็นคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางแต่อย่างใดแสดง
โดยผู้ถูกจับนั่งโดยสารมาในรถยนต์คันดังกล่าวจากการสอบถามผู้ถูกจับที่ 1 ให้การยอมรับว่า ได้รับการประสานจากชายไทย (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุลจริง) ประสานงานให้ไปรับแรงานต่างด้าวที่บริเวณ ป่าข้างทาง พื้นที่ อ.วังเจ้า จ.ตาก จำนวน 12 คน เพื่อไปส่งในพื้นที่ปลายทาง ในพื้นที่ จังหวัดปทุมธานี โดยได้รับค่าจ้าง 10,000 บาท/ครั้ง ผู้ถูกจับที่ 1 รับว่าได้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวบรรทุกแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองมาจริง และตนรู้ดีอยู่แล้วว่าแรงานต่างด้าวทั้ง 12 คน ไม่มีหนังสือเดินทางหรือเอกสารแทนหนังสือเดินทางใดๆและยินยอมที่จะนำพามาส่งที่ปลายทาง
จนกระทั่งมาถูกตำรวจทางหลวงเรียกตรวจสอบ โดยตนนั้นได้กระทำแบบนี้มาแล้ว 5 ครั้ง เงินค่าจ้างที่ได้มาจะนำไปเที่ยวและใช้จ่ายต่างๆ สอบถามผู้ถูกจับที่ 2 – 13 ผ่านล่ามแปลภาษาเมียนมาให้การยอมรับว่า ได้ลักลอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติและเดินข้ามมา ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก และจะมีคนพาออกมาขึ้นรถที่นำพา เพื่อจะเข้ามาหางานทำในประเทศไทย โดยยังไม่ได้เสียค่าใช้จ่าย เมื่อถึงปลายทาง จะมีญาติของผู้ต้องหา เป็นคนจ่ายเงินให้กับนายหน้าที่นำพาเข้าประเทศไทย ในราคาประมาณ 10,000 – 25,000 บาท นำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรหนองเสือ ภ.จว.ปทุมธานี ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป